วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

`ต้อหินจากเบาหวาน`

ผู้ที่เป็นเบาหวานทราบหรือไม่ว่า จะเสี่ยงต่อการเป็นต้อหินมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว และถ้าไม่ได้รับการตรวจจากจักษุแพทย์ อาจมีโอกาสตาบอดถาวรได้
\'ต้อหินจากเบาหวาน\' thaihealth
รศ.นพ.นริศ กิจณรงค์ ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน และไม่เคยรับการตรวจจอประสาทตาจากจักษุแพทย์ อาจเกิดภาวะเบาหวานขึ้นจอตาได้ เนื่องจากเบาหวานทำให้เส้นเลือดที่จอตาผิดปกติทีละน้อยๆ จนจอตาบวม มีเลือดออกที่จอตา หรือวุ้นตา ส่งผลให้เกิดอาการตามัวและอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนทางตา เช่น ต้อหินได้ ซึ่งอันตรายอยู่ที่เส้นประสาทตาจะถูกทำลาย โดยความดันลูกตาเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมากที่สุด ซึ่งความดันลูกตาจะถูกควบคุมด้วยระบบไหลเวียนของน้ำหล่อเลี้ยงภายในลูกตา
หากภาวะสมดุลระหว่างการสร้างน้ำหล่อเลี้ยงและการระบายน้ำออกจากลูกตาเสียไป จะทำให้ความดันลูกตาสูง เกิดภาวะต้อหิน ซึ่งในระยะแรกอาจไม่พบความผิดปกติใดๆ ต่อมาตาจะค่อยๆ มัวลง และยิ่งเป็นผู้ป่วยเบาหวานที่มีเบาหวานขึ้นตาด้วยแล้ว หากปล่อยทิ้งไว้จนมีภาวะต้อหินแทรกซ้อนก็จะตามัวมากขึ้น ปวดตา ตาแดง และอาจทำให้ตาบอดได้ในที่สุด
อย่างไรก็ดี การวินิจฉัยภาวะต้อหินจากเบาหวาน จะเริ่มจากวัดการมองเห็นว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ ตรวจวัด ความดันลูกตา ซึ่งเป็นการตรวจที่สำคัญมากในการวินิจฉัยต้อหิน รวมถึงตรวจจอตาและขั้วประสาทตา ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อการเป็นต้อหิน
จะว่าไปแล้ว การรักษาต้อหินจากเบาหวานไม่ว่าจะเป็นการใช้ยา ฉายแสงเลเซอร์ หรือแม้กระทั่งการผ่าตัด มักไม่ค่อยได้ผลเป็นแค่เพียงบรรเทาอาการไม่สามารถแก้ไขให้สายตากลับมาเป็นปกติได้ แต่สามารถยับยั้งไม่ให้อาการรุนแรงขึ้นได้ ทางที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เบาหวานขึ้นจอตา โดยผู้ป่วยเบาหวานจะต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และควบคุมค่าความดันลูกตาให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ รวมถึงรับการตรวจจอตาโดยจักษุแพทย์เป็นประจำทุกปี


ที่มา : บ้านเมือง โดย น.พ.สุรพงศ์ อำพันวงษ์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

วิตามินซี” สู้หวัดได้จริงหรือ?

เข้าสู่ฤดูฝนทีไร ก็มักจะเห็นคนจามฟึดฟัดกันอยู่บ่อยๆ บ้างก็เป็นแค่วัดธรรมดา ไอ จาม มีน้ำมูก บางคนก็ถึงขั้นเป็นไข้ ต้องล้มหมอนนอนเสื่อกันเลยทีเดียว
คราวนี้ก็ถือเวลาที่คนต้องหันมาดูแลสุขภาพกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นหวัด จะได้ไม่ต้องมีผลกระทบกับการเรียนหรือการทำงาน ซึ่งหลายๆ คนก็เคยได้ยินกันมาบ้างว่า วิตามินซีสามารถรักษาโรคหวัดได้ แต่ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร “108 เคล็ดกิน” มีมาบอก
“วิตามินซี” สู้หวัดได้จริงหรือ? thaihealthข้อมูลจาก คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุไว้ว่า “ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับวิตามินซีกันก่อน “วิตามินซี” หรือ กรดแอสคอร์บิก (ascorbic acid) เป็นวิตามินชนิดละลายน้ำ วิตามินซีมีประโยชน์มากมาย เช่น ใช้รักษาและป้องกันโรคลักปิดลักเปิด และวิตามินซียังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ หรือ antioxidant มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการซ่อมแซมและการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อในร่างกาย ช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้น และมีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจน แต่ประโยชน์ของวิตามินซีที่กล่าวถึงกันมากคือป้องกันหวัด
จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่าการรับประทานวิตามินซีเป็นประจำทุกวันไม่สามารถป้องกันหวัดได้ และไม่มีผลลดความเสี่ยงในการเป็นหวัด ยกเว้นผู้ที่ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาเป็นประจำ จะสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นหวัดได้ถึง 50% อย่างไรก็ตามพบว่าการรับประทานวิตามินซีเป็นประจำทุกวันจะสามารถช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาในการเป็นหวัดได้ ขนาดวิตามินซีที่แนะนำให้รับประทานเพื่อลดความรุนแรงและระยะเวลาในการเป็นหวัดคือ 1-3 กรัมต่อวัน และในผู้ที่ไม่เคยรับประทานวิตามินซีมาก่อน หากเป็นหวัดแล้วจึงเริ่มรับประทานวิตามินซี จะไม่สามารถช่วยลดความรุนแรงหรือระยะเวลาในการเป็นหวัดได้เลย”
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าวิตามินซีจะไม่ได้ช่วยรักษาหวัดได้โดยตรง แต่ก็ยังคงมีประโยชน์สำหรับร่างกายของคนเราอีกหลายอย่าง แต่เนื่องจากร่างกายของคนเราไม่สามารถสร้างวิตามินซีเองได้ ส่วนใหญ่เราจะได้รับวิตามินซีจากการกินผักและผลไม้ นอกจากนี้ก็ยังมีวิตามินซีในรูปแบบที่สกัดออกมาและวางขายในหลายรูปแบบ ทั้งแบบเม็ดเคี้ยว แบบเม็ดฟู่ แบบเม็ดอม แบบเม็ดรับประทาน แบบแคปซูล
“วิตามินซี” สู้หวัดได้จริงหรือ? thaihealth
ส่วนผัก-ผลไม้ที่พบวิตามินซีได้ก็คือผักสดและผลไม้สดที่มีรสเปรี้ยวอย่างส้ม ฝรั่ง มะเขือเทศ สัปปะรด มะขามป้อม มะละกอ มะนาว สตอเบอรี่ ฯลฯ และในผักใบเขียวต่างๆ
ขอแถมอีกนิดสำหรับคนที่ติดหวัดไปแล้ว ขอแนะนำให้ดื่มน้ำขิงร้อนๆ เพราะรสเผ็ดร้อนและหอมแหลมๆ ของน้ำขิงนั้นมีส่วนประกอบของน้ำมันหอมระเหยและตัวยาสมุนไพรอีกหลายชนิดที่สามารถทุเลาอาการหวัดลงได้ และขอให้ลดอาหารประเภทนมและน้ำตาลลง เพราะมันจะยิ่งทำให้เสมหะข้นขึ้นสร้างความรำคาญให้แก่ตนเอง แถมน้ำตาลยังจะไปลดปริมาณเม็ดเลือดขาวที่จะต่อสู้กับเชื้อโรคให้น้อยลงอีกด้วย
แล้วอย่าลืมดื่มน้ำมากๆ และพักผ่อนเยอะๆ ก็เป็นอันว่าโรคหวัดจะไม่รุกรานร่างกายของเรามากไปกว่านี้แล้ว


ที่มา : ASTV ผู้จัดการออนไลน์
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต